จากบทความของ ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
1. จัดหาเงินได้ประเภทที่ยกเว้นภาษี หมายความว่า มีเงินได้หลายๆ ประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งดูได้จาก มาตรา 42 ของประมวลรัษฎากร และกฎกระทรวงฉบับที่ 126 ตัวอย่างเช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะที่ลูกจ้างใช้จ่ายไปโดยความสุจริต และตามความเป็นจริงในการทำหน้าที่ของตน เงินได้จากการขายหรือส่วนลดจากการซื้อขายอากรแสตมป์ ดอกเบี้ยเงินฝากบางประเภทรวมทั้งดอกเบี้ยออมสิน การขายสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก หรือที่ได้มาโดยมิได้ มุ่งค้าหากำไร เช่น ซื้อรถยนต์มาใช้แล้ว ต่อมาก็ขายรถยนต์คันนั้นไป หรือการให้โดยเสน่หา ค่ารักษาพยาบาลที่นายจ้างออกให้แก่ลูกจ้างและครอบครัวของลูกจ้าง เงินได้จากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น
2. เงินได้ที่เสียภาษีในอัตราต่ำ เช่น เบี้ยเงินฝาก หรือ เงินปันผลจากบริษัท ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็เสียภาษีในอัตรา ไม่เกินร้อยละ 10 เป็นต้น
3. เงินได้ประเภทที่หักรายจ่ายได้สูง ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นเกี่ยวกับประเภทเงินได้ และ การหักค่าใช้จ่าย หากผู้มีเงินได้ประสงค์จะเสีย ภาษีน้อยก็ต้องพยายามหักค่าใช้จ่ายให้มากๆ เพื่อที่จะให้เหลือมีเงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษีในจำนวนน้อยที่สุด ยกตัวอย่างเช่น วิศวกรท่านหนึ่ง เป็นลูกจ้างของบริษัท ได้เงินเดือนๆ ละ 250,000 บาท รวมทั้งปีจะได้รับค่าจ้าง ปีละ 3,000,000 บาท ในกรณีที่เขาเสียภาษีแบบเป็นพนักงานลูกจ้าง จะสามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ในอัตรา ร้อยละ 40 ของเงินได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 60,000 บาท วิศวกรท่านนั้นหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เพียงปีละ 60,000 บาท เขาจะต้องเสียภาษีเป็นเงิน ถึง 718,000 บาท หรือ ประมาณร้อยละ 24 ของเงินได้ทั้งหมด แต่ถ้าหากเขาทำงาน เป็นวิศวกร ผู้ประกอบวิชาชีพอิสระ เขาจะหักค่าใช้จ่ายได้เป็นการเหมาร้อยละ 30 ซึ่งเป็นจำนวนเงินถึง 900,000 บาท ในกรณีเช่นนี้ เขาจะเสียภาษีเพียงปีละ 466,000 บาท หรือร้อยละ 15 ซึ่งเมื่อเทียบทั้งสองแบบ กันแล้ว จะมีผลต่างถึง 252,000 บาท ต่อปี
4. วิธีการกระจายรายได้ หมายความว่า การกระจายรายได้ไปยังบุคคลอื่น เพื่อทำให้ไม่เสียภาษีในอัตราที่สูง คนบางคนมีรายได้ หลายประเภท เช่น ได้รับเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าเช่า ค่าสิทธิ เงินปันผล และดอกเบี้ย ดังนั้น หากรวมเป็น เงินได้ และคำนวณภาษีแล้ว จะอยู่ในอัตราที่สูง ดังนั้น หากเขาสามารถกระจายรายได้บางประเภทไปให้แก่ บุคคลในครอบครัว เช่น เขามีบ้านให้เช่าและมีรายได้เป็นเงินเดือน หาก เขากระจายรายได้จากค่าเช่าไปให้ พ่อ แม่ หรือ ลูก ก็จะทำให้มีโอกาสเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า แต่ผู้รับเงินค่าเช่าดังกล่าวไม่ควรมีรายได้ประเภท อื่นอีกเป็นต้น
5. หลากวิธีลดภาษี
5.1. การลงทุนในกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ “RMF” เพราะเมื่อท่านลงทุนไม่เกิน 15%ของเงินเดือน รวมกันไม่เกิน 3 แสนบาทต่อปี รัฐบาลให้หักภาษีเท่ากับรัฐบาลคืนเงินภาษีให้ หลายท่านได้คืนปีหนึ่งนับเป็นหมื่นๆ คนที่ได้คืนเงินมากจริงๆ ได้ปีละเป็นแสนทีเดียว
5.2. การ “ซื้อประกันชีวิต” กับบริษัทที่มีสำนักงานในประเทศไทย และกรมธรรม์นั้นอายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ท่านจะคืนภาษีเหมือนกัน โดยจะได้ลดหย่อนภาษีได้อีก 5 หมื่นบาทต่อปี ซึ่งผมเป็นผู้ผลักดันสมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่กำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ที่กำกับดูแลกรมการประกันภัย ก็เจอแรงต่อต้านพอสมควร แต่โชคดีที่ ฯพณฯนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอธิบดีกรมสรรพากรให้การสนับสนุน เรื่องจึงผ่านไปด้วยดีที่ผ่านๆ มารัฐบาลให้หักภาษีได้เพียงปีละ 1 หมื่นบาทแต่ในปัจจุบันมีการเพิ่มค่าลดหย่อนอีก 4 หมื่นบาทดังนั้น ท่านที่มีรายได้สูงตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งต้องเสียภาษี 30% เมื่อท่านซื้อประกันชีวิตปีนี้ หักภาษีได้ 50,000 บาท เท่ากับท่านจ่ายค่าเบี้ยประกันจริงๆ เพียง 35,000 บาทเท่านั้น อีก 15,000 บาท รัฐบาลลดภาษีให้ท่านซึ่งจะเอาไปใช้จ่ายหรือเก็บออมรวมทั้งเที่ยวเตร่ก็ได้ การซื้อประกันชีวิตเป็นสิ่งที่ดี นอกจากจะให้ความคุ้มครองให้กับตัวท่านแล้ว ก็ยังเป็นการสร้างนิสัยการออม อย่างสม่ำเสมอไปด้วยในตัวเพราะกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ขายในเมืองไทยแทบทุกกรมธรรม์มีการออมเงินรวมอยู่ด้วย ค่าเบี้ยเลี้ยงประกันที่ต้องจ่ายในแต่ละครึ่งปีครึ่งหนึ่งก็เป็นเงินออมของท่าน อันนี้ก็เป็นวิธีการลดภาษีอีกวิธีหนึ่ง
5.3. ลงทุน “ซื้อบ้าน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านใช้อยู่อาศัย แทบทุกคนไม่มีเงินพอที่จะจ่ายสด ก็ต้องไปกู้เงินจากธนาคาร จากนายจ้าง หรือจากกองทุนต่างๆ ดอกเบี้ยที่เราจ่ายไป ท่านหักภาษีได้ปีละ 50,000 บาท ลักษณะของการหักภาษี ซื้อบ้านนี่ก็คล้ายๆกับการซื้อประกันชีวิต กล่าวคือ ท่านจ่ายดอกเบี้ยไป 50,000 รัฐบาลก็ลดภาษีให้ท่าน ถ้าท่านเสียภาษีในอัตรา 20% ก็เท่ากับว่า รัฐบาลก็จะคืนภาษีให้ท่าน 10,000 บาท แต่ถ้าท่านเสียภาษีในอัตราที่สูงถึง 37% รัฐบาลก็คืนให้ท่านเกือบ 20,000 บาททีเดียว ได้ประโยชน์ไม่น้อย
5.4. การบริจาค ชีวิตของคนเราจะมีความสุขได้มากขึ้น ก็คือว่านอกจากจะดีกับญาติมิตรใกล้ตัวเรา ดีกับภรรยา สามี ลูกแล้ว เราต้องยอมรับว่า ในสังคมนี้ทุกคนที่เกิดมาไม่ใช่ว่าจะเก่งเท่ากันหมด โชคดีเท่ากันหมด บางคนเกิดมาร่ำรวย บางคนเกิดมายากจน บางคนเกิดมาฉลาด บางคนโง่ บางคนร่างกายไม่ครบ 32 เสียอีกแต่คนที่ยากจนตอนหนุ่ม หรือตอนเด็กอาจจะร่ำรวยขึ้นมาตอนท้ายที่สุดก็ได้ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาด้วยตนเองการทำบุญ บริจาคเงินเพื่องานกุศลจึงเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างบุญ ในการทำให้ท่านประสบโชคดีต่างๆ และสะสมสมบัติไว้ในสวรรค์ รัฐบาลเองก็ “ลดภาษี” ให้อีกเมื่อท่านจะไปบริจาคเงินเพื่อการกุศล วิธีลดภาษีทำอย่างไรถ้าท่านอยากจะหักภาษีในปีนี้ ท่านต้องบริจาคเงินให้เสร็จเรียบร้อยภายในวันที่ 31 ธันวาคม และท่านต้องเลือกบริจาคให้กับองค์กรที่รัฐเขาประกาศ “รับรอง”ไว้องค์กรพวกนี้ อาทิเช่น มูลนิธิต่างๆซึ่งขณะนี้มีอยู่เกือบ 500 แห่ง วัดวาอารามของทุกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นวัดไทย โบสถ์ฝรั่ง หรือมัสยิด ก็นำมาหักภาษีได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ท่านจะต้องขอ “ใบเสร็จ” เพราะว่ากรมสรรพากรเขาถือว่าใบเสร็จสำคัญที่สุด เช่นเดียวกับโรงรับจำนำที่จำแต่ตั๋วจำนำ ไม่จำลูกค้าและใบเสร็จจะต้องลงว่าบริจาคเป็น “เงิน” ถ้าหากไปต่างจังหวัด แล้วเห็นวัดหนึ่งยากจน ไม่มีที่รองรับเก็บน้ำฝนเอาไว้ใช้ ท่านให้เงินหลวงพ่อไว้ 10,000 บาท ซื้อตุ่ม 10 ใบใบละ 1,000 บาท ถ้าหากหลวงพ่อออกใบเสร็จให้ท่านว่า “บริจาคตุ่ม 10 ใบ ราคา 10,000 บาท” ท่านจะหักภาษี “ไม่ได้” นะครับ ท่านต้องให้หลวงพ่อเขียนว่า “บริจาคเงิน 10,000 เพื่อซื้อตุ่ม 10 ใบ” อย่างนี้หักภาษีได้ อันนี้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ต้องจดจำ อย่าลืม การหักภาษีเงินบริจาค ก็ให้ประโยชน์ตรงที่ว่า ถ้าหากท่านเสียภาษีที่อัตรา 20% ท่านบริจาคไป 50,000 บาท รัฐบาลคืนภาษีให้ท่าน 10,000 บาท แต่การบริจาคก็มีขอบเขตจำกัด คือ กฎหมายกำหนดว่าท่านหักภาษีไม่เกิน 10 % ของยอดรายได้ท่าน ดังนั้น ถ้ายอดรายได้ 1,000,000 บาท ท่านก็บริจาคได้ 100,000 บาท และนำไปหักภาษี หากท่านใจบุญมากๆ จะบริจาคเกิด 10% ก็ไม่มีใครว่า แต่ส่วนที่เกิน 10% หักภาษีไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งผมขอเรียนให้ทราบ คือ ในการวางแผนภาษีที่ผมแนะนำแก่คนรู้จักคุ้นเคยหลายคน ต้องไปดูด้วยว่าปีนี้รายได้ท่านมาก หรือปีหน้าจะมากกว่าถ้าปีนี้รายได้สูงมาก แต่ปีหน้าท่านอาจจะทำงานน้อยลง หรือเปิดกิจการใหม่ต้องใช้เวลาในการทำกำไร รายได้ปีหน้าอาจจะสู้ปีนี้ไม่ได้ ท่านก็ต้องบริจาคปีนี้ เพราะว่าถ้าปีนี้รายได้มาก อัตราภาษีท่านจะสูงก็จะหักภาษีได้มากกว่าถ้าท่านเสียภาษีที่อัตรา 30% ปีนี้บริจาคไป 10,000 บาท ท่านหักภาษีได้ 3,000 บาท ถ้าปีหน้าเกิดรายได้ตกลงมาท่านเสียภาษีในอัตราไม่ถึง 30% คืออยู่ในอัตรา 20% ท่านบริจาค 10,000 บาทเช่นกัน รัฐบาลก็ให้หักภาษีเพียง 2,000 บาท การดูว่าจะบริจาคปีไหน บางทีต้องอาศัยการวางแผนลดภาษีเหมือนกัน ยังมีข่าวดีอีกว่า ต่อไปรัฐบาลจะให้หักภาษีได้ “มากขึ้น” โดยเฉพาะเพื่อสนับสนุนการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นของภาครัฐหรือเอกชน นอกจากนี้ยังจะมีการลดหย่อนภาษีคนพิการ คนสูงอายุ ซึ่งจะมีการนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อสนับสนุนเรื่องนี้
13 มิถุนายน 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น