ข้อมูลจาก www.etoyotaclub.net
รูปแบบในการระบายความร้อนของเครื่องยนต์นั้นจะต้องอาศัยน้ำ+น้ำยาหล่อเย็น (Engine Coolant) เข้าไปดูดซับความร้อนที่เกิดจากการทำงานของเครื่องยนต์ แล้วมาถ่ายเทความร้อนสู่ชั้นบรรยากาศผ่านหม้อน้ำนั่นเองครับ ซึ่งมันก็จะต้องอาศัยเครื่องเคียงจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำ, เทอร์โมสตัท (หรือวาล์วน้ำ), หม้อน้ำ+ฝาหม้อน้ำ, ท่อทางเดิน, เซ็นเซอร์อุณหภูมิน้ำและกระปุกพักน้ำหล่อเย็น ซึ่งในกรณีที่เป็นรถใหม่ ที่อุปกรณ์ต่างๆ ยังผ่านการใช้งานมาค่อนข้างน้อย หรือรถเก่าแต่ดูแลอย่างดี การระบายความร้อนก็แทบจะไม่มีปัญหาใดๆ (ถ้าไม่ได้เอาไปแข่งในที่ที่ต้องเล่นรอบสูงตลอดอ่ะนะ) แต่ถ้าหากชิ้นส่วนใดๆเกิดชำรุดขึ้นมา แล้วไม่หมั่นตรวจตรามาตรวัดอุณหภูมิบ่อยๆ ล่ะก็เรื่องยาวเลยล่ะครับ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเจอะเจอกับอาการ Overheat ล่ะก็ อย่าลืมตรวจเช็คอุปกรณ์ดังต่อไปนี้เด็ดขาดครับ
- หม้อน้ำ ด้วยความที่ระบบระบายความร้อนนั้น นอกจากจะมีเรื่องอุณหภูมิสูงๆ แล้ว ยังมีเรื่องของแรงดันมาเอี่ยวด้วย ดังนั้นถ้ามีช่องว่างแม้เพียงน้อยนิดให้แรงดันและน้ำยาหล่อเย็นรั่วไหลออกไปยิ้มแฉ่งนอกหม้อน้ำเมื่อไหร่ล่ะก็ เป็นเรื่องแน่นอนครับ หลักๆ ก็คือ จะต้องไม่พบความชุ่มชื้นบริเวณใดๆ ของตัวหม้อน้ำทั้งสิ้น (เว้นเสียแต่ว่าเพิ่งจะโดนน้ำมา) ถ้าไม่แน่ใจให้ลองสตาร์ทเครื่อง แล้วตรวจเช็คการรั่วซึม (ด้วยความระมัดระวัง) อีกทีครับ
- ฝาหม้อน้ำ เห็นชิ้นเล็กๆ อย่างนี้ ถ้าเสียทีก็เป็นเรื่อง (ใหญ่) เลยล่ะครับ เพราะฝาหม้อน้ำมีหน้าที่ในการกักเก็บแรงดันตามความสามารถในการทนแรงดันที่ระบุบนฝา (0.9 หรือ 1.1 บาร์) แต่นั่นอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าซีลยางของฝาหม้อน้ำจะต้องไม่ชำรุด (แตกร้าวหรือแหว่ง) ซึ่งนั่นจะเป็นตัวการทำให้แรงดันและน้ำยาหล่อเย็นรั่วไหล จนไม่อาจระบายความร้อนได้เต็มประสิทธิภาพ ฝาหม้อน้ำราคาไม่กี่ร้อย ถ้าชำรุดแม้เพียงนิดๆ หน่อยๆ ก็เปลี่ยนไปเถอะครับ
- เทอร์โมสตัท หรือวาล์วน้ำนั่นเองล่ะครับ เจ้าอุปกรณ์ตัวนี้มีหน้าที่เป็นประตูปิด-เปิด ให้น้ำยาหล่อเย็นมีการไหลเวียนเต็มระบบเมื่อถึงอุณหภูมิที่กำหนด แต่หากว่าวาล์วน้ำชำรุดล่ะก็ มันจะไม่ยอมให้น้ำที่หมุนเวียนอยู่ในเครื่องออกไปถ่ายเทความร้อนยังตัวหม้อน้ำนั่นเอง คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ? การตรวจเช็คแบบง่ายๆ นั้นสามารถทำเองได้ครับ โดยให้เปิดฝาหม้อน้ำแล้วสตาร์ทเครื่อง รอจนกระทั่งถึงอุณหภูมิทำงานซึ่งวาล์วจะเริ่มเปิด โดยให้สังเกตการหมุนวนของน้ำครับ ซึ่งหากติดเครื่องไว้ซักพักแล้วน้ำยังนิ่งล่ะก็ มีวี่แววว่าจะได้เปลี่ยนวาล์วน้ำใหม่ค่อนข้างแน่ครับ แต่ถ้าเอาแบบชัวร์ๆ ก็ต้องถอดออกไปต้มในภาชนะโลหะ พร้อมด้วยเทอร์โมมิเตอร์ เพื่อเช็คอุณหภูมิที่วาล์วน้ำทำงานครับผม
- พัดลมหม้อน้ำ มันก็จะมีอยู่ 2 แบบ คือ พัดลมไฟฟ้า (ส่วนใหญ่จะใช้กับรถขับเคลื่อนล้อหน้า) กับพัดลมไฮดรอลิค (หรือที่เรียกกันว่าฟรีปั๊ม นิยมใช้กับรถขับเคลื่อนล้อหลัง) ส่วนการตรวจเช็คนั้นก็ทำไม่ยากครับ เริ่มจากพัดลมไฟฟ้า ที่จะต้องทำงานเมื่อถึงอุณหภูมิ ซึ่งปัญหาที่พบส่วนใหญ่ก็จะมาจากการที่พัดลมไม่ทำงานหรือหมุนช้ากว่าเดิม (ระบายความร้อนออกไม่ทัน) จนทำให้อุณหภูมิสูงเกิดกำ-หนด ส่วนพัดลมไฮดรอลิคสามารถตรวจเช็คได้โดยที่ไม่ต้องสตาร์ทเครื่อง เพียงแค่ลองหมุนพัดลมเท่านั้น โดยใบพัดจะต้องมีแรงหน่วงจากระบบน้ำมันในระบบจึงจะถือว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ แต่หากว่าใบพัดหมุนได้อย่างง่ายดายเลยล่ะก็เตรียมเปลี่ยนได้เลยครับ
- และที่จะพลาดเสียมิได้ก็คือ ต้องหมั่นชำเลืองมองมาตรวัดอุณหภูมิให้บ่อย และสังเกตระดับความร้อนที่เข็มชี้ เพื่อจะได้ทราบถึงความเปลี่ยนแปลง (แม้เพียงน้อยนิด) ได้อย่างทันท่วงที โดยหากว่าเข็มความร้อนหมุนไปหา H (Hot) จากระดับปกติอย่างต่อเนื่องล่ะก็ ให้รีบนำรถเข้าจอดในที่ๆ ปลอดภัยและดับเครื่องให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการเสียหายที่อาจจะบานปลายเกินกว่าที่คิดครับผม
24 กรกฎาคม 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น